เลือกหลอดประหยัดไฟให้คุ้มค่า และประหยัดที่สุด
ทุกคนเคยสังเกตแบบพี่ไทไหมครับว่า นวัตกรรมหลอดไฟ คือหนึ่งในนวัตกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา สมมุติว่าเราจะเปลี่ยนหลอดไฟ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม พอเราไปถึงหน้าร้านก็จะพบว่ามีหลอดไฟรูปแบบใหม่เกิดขึ้นมามากมายเต็มไปหมด เลือกกันไม่หวาดไม่ไหว ไล่กันมาตั้งแต่ยุคหลอดไส้ หลอดตะเกียบ หลอด LED พัฒนาปรับปรุงรูปแบบ เสริมฟังชั่น แต่งเติมเทคโนโลยีกันมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีประหยัดไฟที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะสามารถลดค่าใช้จ่ายภายในบ้านได้จริง ส่งผลให้คำว่าหลอดประหยัดไฟกลายเป็นตัวเลือกแรกสุดในการเลือกซื้อหลอดไฟไปโดยปริยาย
แต่ถึงอย่างไรก็ตามนอกจากการเลือกหลอดประหยัดไฟแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการเลือกหลอดไฟให้ตอบโจทย์กับการใช้งาน ตรงตามรูปแบบและความสามารถของหลอดไฟชนิดนั้น ๆ เพื่อให้หลอดไฟที่เราเลือกสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นในบทความนี้พี่ไทจึงขอแนะนำวิธีการเลือกใช้หลอดไฟมาเล่าสู่กันฟัง โดยจะนำรูปแบบการใช้งานมาเป็นหัวข้อในการเลือก ชอบแบบไหนก็ขอให้เลือกใช้แบบนั้น รับรองได้ว่าพออ่านจบแล้วจะสามารถเลือกหลอดไฟได้ตรงตามที่ใจต้องการแน่นอน
เลือกใช้งานหลอดไฟอย่างประหยัด
แม้จะมีหลอดประหยัดไฟหลายรูปแบบ แต่เจ้าของตำแหน่งหลอดไฟที่ประหยัดและคุ้มค่าเงินมากที่สุด คงหนีไม่พ้นหลอดไฟ LED เพราะสามารถประหยัดพลังงานได้มากถึง 90% เมื่อเทียบกับหลอดไฟแบบหลอดไส้ และประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดตะเกียบถึง 40% แถมอายุการใช้งานมากกว่าหลอดไฟแบบหลอดไส้ถึง 15 เท่า
นอกจากนี้เมื่อเทียบกับหลอดไฟชนิดอื่น ๆ หลอดไฟ LED คือหลอดไฟที่ไม่ปล่อยรังสียูวี จึงไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง โดยแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากหลอด LED นั้น จะให้แสงสว่างที่ถูกต้อง ชัดเจน ไม่เพี้ยน ที่สำคัญหลอดไฟ LED ยังเป็นหลอดที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มที่จะประหยัดพลังงานมากขึ้น และมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ มารองรับในอนาคตนั่นเอง
ส่วนในเรื่องราคานั้น แม้ว่าในสมัยก่อนหลอดไฟ LED จะมีราคาค่อนข้างสูง ทำให้คนไม่นิยมเลือกใช้ แต่ปัจจุบันด้วยนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง จึงได้มีการพัฒนาให้หลอดไฟ LED มีราคาที่ถูกลงกว่าเดิม ไม่ต่างจากหลอดประเภทอื่นมากนัก ยิ่งถ้าเทียบกับอายุการใช้งานก็ถือได้ว่าคุ้มค่ากว่าหลอดไฟชนิดอื่น ๆ
เลือกใช้งานหลอดไฟตามสภาพของห้อง
การเลือกใช้งานหลอดไฟตามสภาพของห้องในที่นี้หมายถึง การเลือกโดยคำนึงถึงความเหมาะสมของห้องนั้น ๆ เพราะห้องต่าง ๆ ภายในบ้านมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นหลอดไฟที่เลือกใช้ภายในห้องก็ต้องแตกต่างกันออกไปด้วยเช่นเดียวกัน โดยสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนนั่นก็คือ ค่าความสว่างกับค่าวัตต์แปรผันตรงตามกัน หมายความว่า ถ้าต้องการห้องที่มีความสว่างมากก็ต้องเลือกใช้หลอดไฟที่มีค่าวัตต์สูงนั่นเอง โดยห้องต่าง ๆ จะมีความต้องการความสว่างที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้
ห้องทำงาน: จากประเภทของห้องทั้งหมดภายในบ้าน ห้องทำงานถือได้ว่าเป็นห้องที่ต้องใช้สมาธิสูงสุด มีการใช้สายตาในการทำงานตลอดเวลา ดังนั้นไฟในห้องทำงานจึงต้องมีความสว่างมากเป็นพิเศษ ถ้าห้องขนาดประมาณ 20 ตารางเมตร (ประมาณครึ่งสนามแบตมินตัน) อาจจะเลือกใช้หลอดไฟ LED 4 - 5 วัตต์ ประมาณ 14 หลอด หรือถ้าเลือกเป็นหลอดไฟขนาดใหญ่ 9 - 9.5 วัตต์ ก็จะลดลงเหลือประมาณ 6 หลอด โดยอาจจะหาโคมไฟอ่านหนังสือมาตั้งที่โต๊ะ ให้ความสว่างเฉพาะจุดก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
ห้องนั่งเล่น: คือห้องที่เราใช้เวลาอยู่มาก รองจากห้องนอน เป็นห้องที่ทุกคนภายในบ้านมาทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ดูทีวี อ่านหนังสือ พักผ่อนกาย ความสว่างภายในห้องจึงไม่ต้องสูงมากแบบห้องทำงาน ถ้าห้องขนาดประมาณ 20 ตารางเมตร (ประมาณครึ่งสนามแบตมินตัน) อาจจะเลือกใช้หลอดไฟ LED 4 - 5 วัตต์ ประมาณ 10 หลอด หรือจะขยับมาเป็นขนาด 9 - 9.5 วัตต์ ประมาณ 4 หลอดก็เพียงพอสำหรับห้องนั่งเล่นแล้ว
ห้องนอน: เป็นห้องสำหรับการพักผ่อน ห้องที่เราใช้เวลาอยู่มากที่สุด แต่เป็นห้องที่ไม่ต้องการความสว่างที่มากจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการนอนหลับได้ ถ้าห้องขนาดประมาณ 15 ตารางเมตร อาจเลือกใช้หลอดไฟ 4 - 5วัตต์ ประมาณ 4 หลอด ก็เพียงพอแล้วต่อความสว่างภายในห้องนอน โดยอาจเพิ่มโคมไฟตั้งโต๊ะ หรือโคมไฟตั้งพื้น ในจุดที่ต้องการใช้ความสว่างมากเป็นพิเศษ เช่น โต๊ะเครื่องแป้ง ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
เลือกใช้งานตามสีของหลอดไฟ
สีคือสิ่งที่มีผลต่อความรู้สึกในด้านต่าง ๆ ดังนั้นหากสังเกตให้ดี จะพบว่าสีที่ออกมาจากหลอดไฟนั้นจะมีความแตกต่างกันออกไปไม่ใช่สีเดียวกันทั้งหมด หลอดไฟจึงทั้งทำหน้าที่ให้แสงสว่าง ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการมองเห็น และยังช่วยสร้างความรู้สึก แต่งเติมเสริมบรรยากาศให้กับตัวห้องอีกด้วย ซึ่งหลอดประหยัดไฟในปัจจุบันมีโทนสีให้เลือก ดังต่อไปนี้
Warm White: คือแสงในโทนสีส้ม ให้ความรู้สึกสบาย อบอุ่น เหมือนแสงแดดอ่อน ๆ ในตอนเช้า จึงเหมาะสำหรับการใช้ในห้องนอน ห้องน้ำ หรือห้องรับแขก แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในห้องแต่งตัว หรือบริเวณหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เพราะจะทำให้มองเห็นสีผิวผิดไปจากความเป็นจริง
Cool White: คือแสงในโทนสีขาวสว่าง เป็นสีโทนเย็น ให้ความรู้สึกโปร่งเบา ช่วยให้จิตใจสงบ มองแล้วสบายตา เหมาะกับห้องที่ต้องการขับเน้นบรรยากาศ เช่น ห้องครัว หรือบริเวณโต๊ะกินข้าว เพราะจะช่วยเสริมบรรยากาศการทานข้าว และช่วยให้อาหารดูน่าทานมากยิ่งขึ้น
Day Light: คือโทนสีมาตรฐานของหลอดไฟที่มักนิยมเลือกใช้กัน เพราะเป็นโทนสีที่ใกล้เคียงแสงธรรมชาติ มากที่สุด ใช้งานง่าย เหมาะกับห้องเกือบทุกห้องภายในบ้าน เช่น ห้องทำงาน ห้องรับแขก ห้องน้ำ หรือแม้แต่บริเวณโต๊ะเครื่องแป้ง ก็สามารถใช้ได้ ไม่หลอกตาผู้ใช้
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่น่าสนใจของหลอดประหยัดไฟที่พี่ไทคัดมาบอกเล่าให้ทุกคนได้ฟังกัน ซึ่งหลักการเลือกทั้ง 3 ข้อนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกใช้งานเพียงข้อใดข้อหนึ่ง สามารถใช้งานร่วมกันได้เลย เช่น เลือกหลอด LED 5 หลอด โทนสี Warm White มาไว้ในห้องนอน เพื่อให้ความรู้สบายในยามพักผ่อน ทุกหัวข้อสามารถจับมารวมกันได้อย่างลงตัว ช่วยเสริมให้การเลือกหลอดประหยัดไฟตรงตามวัตถุประสงค์ ตอบโจทย์ทุกการใช้งานมากขึ้นกว่าที่เคย
• เลือกช้อปหลอดประหยัดไฟ ครบ ถูกและดี ได้ที่หน้าร้าน และหน้าเว็บ คลิก
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สินค้าแนะนำ