โซฟา (Sofa)

• โซฟามาตรฐาน (Sofa) โซฟาส่วนใหญ่ที่เราเห็นกันมักจะมีขนาดตั้งแต่ 1-3 ที่นั่ง มีดีไซน์ทั้งแบบเหลี่ยม หรือแบบที่ต่างกันออกไป มีพนักพิงหลัง ที่ท้าวแขนที่สามารถรองรับการพักผ่อนได้ดี ส่วนมากถ้าเป็นแบบ 1-2 ที่นั่งจะเหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก แต่ถ้าพื้นที่กว้างขึ้นมาหน่อยก็อาจจะเลือกแบบโซฟา 3 ที่นั่ง โดยการจะเลือกโซฟากี่ที่นั่งก็ควรคำนึงถึงพื้นที่ในห้องเช่นกัน จะได้ไม่ขวางทางเดิน หรือพื้นที่ใช้สอยอื่น ๆ
• โซฟาเบด (Sofa bed) เรียกได้ว่าเป็นโซฟาที่ตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชันการนั่งและนอน เพราะสามารถปรับระดับให้เป็นโซฟากึ่งเตียงนอนได้ ตอบโจทย์สุด ๆ กับห้องที่มีพื้นที่ใช้สอยจำกัด หรืออาจจะเหมาะกับหอพักขนาดเล็ก เมื่อคุณอยากจะใช้เป็นโซฟานั่งดูหนัง นั่งทำงานก็แค่ปรับพนักพิงขึ้น หรืออยากจะงีบ นอนพักผ่อนให้สบายร่างกายมากขึ้นก็ปรับนอนราบคล้ายเตียงขนาดย่อมก็ได้ ถือเป็นโซฟามัลติฟังก์ชันถูกใจคนที่ชอบอะไรแบบ 2 in 1 สุด ๆ
• โซฟารูปตัวแอล (L-Shaped Sofa) หรือเรียกอีกอย่างว่าโซฟาเข้ามุม ดีไซน์ของโซฟาจะถูกออกแบบเป็นรูปตัว L ซึ่งจะมีทั้งแอลซ้ายและแอลขวา เหมาะสำหรับห้องที่มีขนาดพื้นที่ค่อนข้างมาก ออกแบบให้นั่งได้แบบที่นั่งปกติ หรือเหยียดขาได้ในกรณีที่ต้องการความสบายมากยิ่งขึ้น มักจัดวางชิดผนังหรือเข้ามุม เพื่อเว้นพื้นที่อีกด้านสำหรับการใช้สอยอื่น ๆ  

• โซฟาหนัง จะมีทั้งหนังแท้และหนังเทียม ถ้าเป็นหนังแท้จะให้ความนิ่มและทนทานมากกว่า อีกทั้งยังสามารถกันน้ำได้ ส่วนโซฟาหนังเทียม ส่วนใหญ่จะเป็น PU หรือ PVC ผิวสัมผัสนุ่ม ทนทานน้อยกว่าหนังแท้ (อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานในแต่ละบุคคล) แต่จะมีข้อได้เปรียบ คือ หนังเทียมจะมีลวดลาย สีสัน ให้เลือกเยอะมากกว่า แต่ทั้งนี้โซฟาหนังจะไวต่ออุณหภูมิ คือ ถ้าอากาศร้อน หนังก็จะร้อนตาม ถ้าอากาศเย็น หนังก็จะมีความเย็นตาม เพราะฉะนั้น หากเลือกโซฟาแบบหนัง ก็ควรคำนึงถึงข้อนี้เป็นสำคัญ เพราะอากาศเมืองไทยร้อนเสียส่วนใหญ่ การจัดวาง อาจจะต้องเลี่ยงการวางในที่ที่แดดส่องถึงได้มาก เพราะนอกจากจะทำให้โซฟาร้อนแล้ว หนังหุ้มโซฟาอาจจะเสื่อมสภาพไวอีกด้วย 
• โซฟาผ้า  จะมีทั้งแบบใยธรรมชาติ หรือใยสังเคราะห์ มีคุณสมบัติระบายอากาศได้ดี ไม่กักเก็บความร้อน ให้ความนุ่มนั่งสบาย และราคาถูกกว่าโซฟาหนัง แต่ข้อเสียก็คือเป็นประเภทโซฟาที่กักเก็บฝุ่น จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นภูมิแพ้หรือมีสัตว์เลี้ยง หรือหากต้องการโซฟาผ้าจริง ๆ ก็ควรเลือกเนื้อผ้าที่มีความลื่น อมฝุ่นน้อย ทำความสะอาดได้ง่าย หรือแบบที่สามารถถอดซักได้ แต่หากซักบ่อยครั้งสีผ้าก็จะค่อย ๆ ซีดจาง และเนื้อผ้าหดตัวเมื่อใช้ไปซักระยะ 

• ดูดฝุ่น โซฟาที่ทำจากผ้ามักจะกักเก็บฝุ่น เพราะฉะนั้นเราควรดูดฝุ่นโซฟาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยควรดูดฝุ่นออกให้หมด ไม่เว้นแม้กระทั่งตามซอกหรือรอยตะเข็บต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ให้ฝุ่นหลงเหลืออยู่ หากปล่อยไว้นานฝุ่นก็จะยิ่งหนา และยิ่งไม่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นภูมิแพ้ 
• เลอะปุ๊บเช็ดปั๊บ ถ้าเป็นโซฟาหนัง เวลาน้ำหกหรือเลอะคราบอาหารก็จะสามารถเช็ดออกได้อย่างง่ายดายเพียงใช้ผ้าแห้ง หรือผ้าหมาดน้ำเช็ดทำความสะอาด แต่หากเป็นโซฟาแบบผ้า ต้องรีบจัดการก่อนที่มันจะฝังแน่นลงไปกับเนื้อผ้า อาจจะใช้ผ้าสะอาดเช็ดบริเวณที่เปื้อนทำให้รอยคราบจางลง หรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่วม แล้วเป่าให้แห้ง 
• นำไปตากแดด วิธีที่จะฆ่าเชื้อโรคได้ดีที่สุดคือการยกโซฟาไปตากแดด ความร้อนจากดวงอาทิตย์จะทำการกำจัดกลิ่นอับหมักหมมและฆ่าเชื้อโรคได้ดี แต่ก็อย่าตากแดดจนนานไป เพราะโซฟาหนังอาจจะเสื่อมสภาพลงได้หากโดนแสงแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน 
• ทำความสะอาดคราบฝังแน่นด้วยเบคกิ้งโซดา ในกรณีที่โซฟาของเราเลอะคราบน้ำหวาน กาแฟ เราสามารถใช้เบคกิ้งโซดาที่หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปมาทำความสะอาดได้ โดยโรยเบคกิ้งโซดาให้ทั่วบริเวณที่เลอะ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นใช้แปรงขัดทำความสะอาด ตามด้วยผ้าสะอาดเช็ดผิวโซฟาซ้ำอีกครั้ง