หลอดไฟ LED

รู้จักหลอดไฟ LED ให้มากขึ้น 

• หลอดไฟ LED ทำมาจากสารกึ่งตัวนำ (Semiconductor) สองชนิดวางติดกัน ประกอบด้วยส่วนที่เป็นขั้วบวก และส่วนที่เป็นขั้วลบ เมื่อปล่อยกระแสไฟไหลผ่านสารกึ่งตัวนำทั้งสอง อิเล็กตรอนอิสระที่อยู่ในฝั่งขั้วลบจะวิ่งไปที่ฝั่งขั้วบวก แล้วจะปล่อยแสงสว่างออกมา 
• หลอด LED ที่ขายอยู่ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูงกว่าหลอดไส้แบบดั้งเดิม เรียกได้ว่าสามารถเปล่งแสงออกมาได้มากกว่าด้วยการกินไฟที่เท่ากัน ทำให้เดี๋ยวนี้ตามร้านขายอุปกรณ์ส่องสว่างไม่นิยมนำหลอดไส้มาวางขายกันแล้ว 
• การทำงานของหลอดไฟ LED จะไม่มีการเผาไส้ให้ร้อน หรือใช้ก๊าซเพื่อเป็นตัวเปล่งแสง ทำให้อายุการใช้งานของหลอดไฟ LED ยาวนานกว่าการหลอดไฟแบบดั้งเดิม ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาได้มากเลยทีเดียว
• ข้อดีของหลอดไฟ LED จะเปิดแล้วสว่างทันที ไม่ต้องรอนานเหมือนหลอด HID หรือหลอดเมทัลฮาไลด์ (MH) ที่ต้องรอ 5-15 นาที หลังจากที่เปิดถึงจะสว่างเต็มที่
• นอกจากการประหยัดพลังงาน เหตุผลหลัก ๆ ที่หลายคนเลือกใช้หลอด LED เพราะเป็นหลอดไฟที่ไม่มีรังสี UV หรืออัลตราไวโอเลต ที่จะส่งผลเสียต่อผิวหนังและสายตา รวมถึงยังไม่แผ่รังสีความร้อนออกมามากเหมือนกับหลอดไส้แบบเก่า
• หลอดไฟ LED ถือเป็นหลอดไฟที่หลอดภัยในการใช้งาน แถมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เนื่องจากไม่มีสารพิษเช่นสารปรอทอยู่ในหลอดไฟเหมือนกับหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน 

หลอดไฟ LED ก็มีข้อควรพิจารณา 

 วิธีการเลือกซื้อหลอดไฟ LED 

• เลือกโทนแสงให้เหมาะสมกับพื้นที่ติดตั้ง 
  • Warm White : ให้แสงในโทนส้ม ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่น ผ่อนคลาย เป็นกันเอง เหมาะกับห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ
  • Cool White : แสงที่ได้จะค่อนข้างขาวและเป็นสีโทนเย็น ให้ความสบายตา และช่วยให้สีสันของวัตถุดูสดใส
  • Daylight White : เป็นสีมาตรฐานที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะให้สีใกล้เคียงกับแสงอาทิตย์ ไม่ทำให้สีของวัตถุที่สะท้อนกลับมาผิดเพี้ยน 
• สังเกตขั้วหลอด LED ว่าใช้กับขั้วแบบเดิมที่มีอยู่ในบ้านได้หรือไม่ เพราะการเลือกหลอดไฟที่มีขั้วไม่สอดคล้องกับรางหลอดไฟที่บ้าน อาจทำให้จะต้องเสียเงินเพื่อซื้อหลอดใหม่ได้ โดยประเภทของขั้วหลอดไฟสามารถแบ่งแบบเข้าใจง่าย ๆ คือแบบเกลียว และแบบเขี้ยว ซึ่งเวลาซื้อแบบเกลียว ก็ต้องซื้อหลอดไฟแบบเกลียวเหมือนกันเพื่อให้หมุนเข้ากันได้ ส่วนแบบเขี้ยวจะมีแง่งเหมือนเขี้ยว ต้องใช้หลอดไฟแบบเขี้ยวมาเกี่ยวกันถึงจะทำงานได้ ทั้งนี้ทั้งสองแบบก็มีย่อยออกไปอีกหลายแบบ ดังนี้ 
  • ขั้วเกลียว E14 : ภาษาช่างจะเรียกกันว่า “ขั้วเล็ก” นิยมใช้กับหลอดรูปทรงจำปา หรือทรงกระบอกเล็ก ปิงปอง หลอดศาลเจ้า หรือทรงกระบอกเล็ก เดิมทีขั้วหลอดตัวนี้จะมีแต่หลอดไส้เท่านั้นที่เป็นคู่ แต่ปัจจุบันหลอดไฟ LED ก็มีแล้ว
  • ขั้วเกลียว E27 : เป็นขั้วหลอดไฟนิยมใช้กันมากที่สุด เดิมทีขั้ว E27 จะนำมาใช้กับหลอดไส้ทรงน้ำเต้าหรือทรงปิงปอง ต่อมาได้พัฒนาให้ใช้ได้กับหลอดตะเกียบ หรือหลอดประหยัดไฟแบบแท่งได้ และเดี๋ยวนี้ไม่ว่าบ้านคุณจะขั้วไหน ผู้ผลิตก็ทำหลอดไฟ LED ออกมาซัพพอร์ตทุกรุ่นแล้ว
  • ขั้วแบบเกลียว E40 : จะใช้กับหลอดที่มีกำลังวัตต์สูง จึงมีขนาดใหญ่กว่า E27 โคมขั้วที่ใช้กับหลอดประเภทนี้ เช่น สปอตไลท์ โคมฟลัดไลท์ โคมไฮเบย์ โคมไฟในสนาม โคมไฟโกดัง
  • ขั้วเขี้ยว G13 : ใช้กับหลอดไฟนีออน หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ได้ทั้งขนาด 18 วัตต์ หรือ 36 วัตต์ แต่ถ้าเป็นหลอดนีออนดั้งเดิมต้องทำงานคู่กับบัลลาสต์ และสตาร์ทเตอร์ถึงจะติดไฟได้ 
  • ขั้วเขี้ยว GU10 : ภาษาช่างจะเรียกว่า “ขั้วขาสตาร์ทเตอร์” ลักษณะเป็นแบบมีขาบิดล็อกได้ จะใช้คู่กับหลอดฮาโลเจนแบบถ้วย นิยมใช้กับโคมไฟติดรางที่ติดในลักษณะส่องลงพื้น ซึ่งเสี่ยงต่อการหลุดจากตัวโคม จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม่จึงต้องมีขาล็อก
  • ขั้วเขี้ยว GU5.3 : นิยมใช้กับหลอดฮาโลเจนแบบถ้วย และแบบแคปซูล ลักษณะขั้วจะเป็นเหล็กแหลมสั้นสองแท่งที่ตัวขั้วหลอด 
• กำลังวัตต์ของหลอดไฟ (W) ไม่ควรเกิน 1/3 ของหลอดไฟแบบเดิม รวมถึงตรวจเช็กการรับรองมาตรฐานจาก มอก.1955-2551, ISO, CE, EMC, LVD, ROHS เป็นต้น 

ช้อปปิ้งสินค้า หลอดไฟ LED ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง กับ ไทวัสดุ