ร้อนแค่ไหนก็เย็นได้ ถ้าเลือกใช้สีทาบ้านถูกวิธี

บ้านที่เราอยู่อาศัย คอนโดที่เราพักกาย เมื่ออยู่กันนานวันไปจากหลักเดือน เข้าสู่หลักปี ก็ย่อมมีเบื่อกันบ้าง ซึ่งเป็นความเบื่อที่เกิดมาจากสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ที่ต้องเจอกันทุกวันนั่นเอง ซึ่งความเบื่อเหล่านี้ก็มีวิธีแก้ที่แตกต่างกันไปแล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล บางคนชอบตกแต่งบ้านก็มักจะไปหาเฟอร์นิเจอร์มาสลับสับเปลี่ยนให้บ้านดูแตกต่างจากที่เคยเป็น บางคนชอบต่อเติมก็มักจะไปเสริมเติมแต่งเพิ่มพื้นที่ให้บ้านดูมีมิติมากขึ้นกว่าเดิม แต่บางคนก็เลือกวิธีง่าย ๆ ในการสร้างความแตกต่างให้กับบ้านด้วยการทาสีใหม่ เป็นวิธีที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก แต่เสมือนได้บ้านหลังใหม่เปลี่ยนแปลงที่พักอาศัยได้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างไรก็ตามปัญหาอาจจะตกไปอยู่ที่การเลือกสี สีโทนร้อน สีโทนเย็นวุ่นวายมากมายเต็มไปหมด ไหนจะต้องมาคำนึงถึงสภาพอากาศร้อนเป็นพิเศษของประเทศไทย เลือกสีผิดขึ้นมาทำให้บ้านร้อนไปกว่าเดิมตามแก้กันไม่หวาดไม่ไหว เสียเวลาโดยใช้เหตุ เกริ่นกันมาขนาดนี้คงพอจะทราบกันแล้วใช่ไหมครับ ว่าบทความนี้พี่ไทมีเทคนิคในการเลือกสีทาบ้านมาฝาก แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นพี่ไทขอชวนทุกคนมาปรับความเข้าใจเรื่องสีทาบ้านกันสักเล็กน้อย ดังต่อไปนี้ครับ

หนึ่งในเรื่องที่ใครหลายคนอาจเข้าใจผิดเกี่ยวกับสีทาบ้านมาตลอดก็คือ การเลือกสีทาบ้านโทนร้อนจะทำให้บ้านร้อนขึ้นกว่าเดิม และการเลือกสีโทนเย็นจะทำให้บ้านเย็นสบายขึ้น เพราะในความจริงแล้วนั้น สีทาบ้านไม่ว่าจะโทนร้อนหรือโทนเย็นก็ไม่ได้ส่งผลโดยตรงกับอุณหภูมิของบ้าน แต่สิ่งที่จะส่งผลต่ออุณหภูมิภายในบ้านก็คือความเข้มและความอ่อนของสี เพราะสีโทนเข้มจะมีคุณสมบัติในการดูดซับความร้อน ส่วนสีโทนอ่อนจะมีคุณสมบัติในการสะท้อนแสง ดังนั้น การเลือกสีโทนอ่อนจึงจะเป็นช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านได้ดีกว่าสีโทนเข้มอย่างแน่นอน ไม่ได้เกี่ยวกับสีโทนร้อนหรือโทนเย็นแต่อย่างใด โดยสีที่สามารถสะท้อนความร้อนได้ดีที่สุดก็คือสีขาวนั่นเองครับ

หลังจากทำความเข้าใจเรื่องสีโทนเข้ม และสีโทนอ่อนเป็นที่เรียบร้อย พี่ไทขอพาไปดูเคล็ดลับในการเลือกสีทาบ้านกันต่อเลยนะครับ

1. โทนร้อนไม่ใช่ปัญหา ขอแค่ปรับความเข้มลงมาก็สบายใจได้

จากข้อมูลข้างต้นเรื่องสีโทนเข้มโทนอ่อน ก็น่าจะทำให้เราหมดความกังวลใจเรื่องสีโทนร้อนโทนเย็นไปได้พอสมควร ใครที่ชอบสีโทนร้อน ก็ไม่ต้องกังวลใจว่าเลือกมาใช้แล้วบ้านจะร้อนขึ้นกว่า สามารถไปเลือกซื้อหาสีโทนร้อนได้อย่างใจต้องการ เพียงแค่ลดระดับความเข้มของสีที่ลงมาสักหน่อย เพื่อช่วยลดการดูดซับความร้อนของแสงที่เข้ามาในบ้าน แค่นี้อุณหภูมิในบ้านก็จะไม่สูงขึ้นตามสภาพอากาศแล้วครับ

2. จับคู่กับสีขาว สดใส สบายตา

นอกจากการปรับลดความเข้มของสีโทนร้อนแล้ว การจับคู่สีก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยสร้างความเย็นสบายให้กับห้อง เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทาสีห้องด้วยสีเพียงแค่สีเดียว เราสามารถจับคู่สีเพิ่มความน่าสนใจให้กับตัวห้องได้ ส่วนใครที่กังวลว่าจับคู่สีไม่เป็นก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เพราะที่สีสามารถจับคู่กับทุกสีได้อย่างลงตัวก็คือสีขาว เช่น ทาผนังห้อง 1 ด้านด้วยสีโทนร้อน ส่วนผนังห้อง อีก 3 ด้านให้ทาด้วยสีขาว ห้องของเราก็จะดูสว่าง เย็นสบาย ผ่อนคลาย ด้วยสีขาว และห้องดูมีมิติด้วยสีโทนร้อนที่เราเลือกมาจับคู่ด้วย

3. มิกซ์แอนด์แมทช์ จับคู่ร้อนเย็น ตกแต่งร่วมกัน

การจับคู่สีระหว่างสีโทนร้อนและโทนเย็น จะเป็นการเพิ่มสีสันให้กับตัวบ้านปรับสมดุล เสริมบรรยากาศภายในบ้านให้ดูสดใสสดชื่นมากขึ้น แต่การจับคู่สีตรงข้ามแบบนี้ อาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครหลายคน แต่เราสามารถค้นดูคู่สีที่ชอบ ดูสีห้องที่ถูกใจผ่านการค้นหาใน Search Engines อย่าง Google ได้ หรือ สามารถสอบถามจากพนักงานผสมสี เรื่องความเหมาะสมของคู่สีได้เช่นเดียวกัน

4. สีสะท้อนความร้อน ตอบโจทย์บ้านเย็น

ใครที่อยากตัดปัญหาเรื่องสีโทนร้อนโทนย็น หรือการจับคู่สี แนะนำให้เลือกสีที่สามารถสะท้อนความร้อนได้ เพราะมีคุณสมบัติในการสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ มีค่าการดูดซึมความร้อนต่ำ และคลายความร้อนได้ดี เป็นนวัตกรรมกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพ ยิ่งเลือกใช้สีสะท้อนความร้อนที่เป็นสีโทนอ่อนการทำงานของสีก็จะดียิ่งขึ้น เย็นสบายมากขึ้นกว่าเดิม แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องแลกมากับราคาสีที่สูงขึ้นกว่าสีแบบปกตินั่นเอง

ทั้ง 4 ข้อที่พี่ไทยกตัวอย่างมาเป็นวิธีการง่าย ๆ ในการเลือกสีให้เหมาะสม เพื่อลดความร้อนภายในบ้าน แถมด้วยการปรับเปลี่ยนความจำเจให้บ้านของเราดูสดใสมากขึ้นกว่าเดิม สามารถเลือกนำไปใช่กันได้ตามสะดวกเลยนะครับ แต่ถึงอย่างไรก็ตามอย่าลืมคำนวนพื้นที่ในการทาสีให้เรียบร้อยก่อนไปซื้อสี และอย่าลืมจดโค้ดสีหรือถ่ายรูปเก็บไว้เผื่อขาดเหลือขึ้นมาในอนาคตจะได้ตามกลับมาซื้อสีได้อย่างถูกต้อง

ขอบคุณภาพจาก: pinterest.com