ดูแลยางรถยนต์อย่างไรให้อยู่คู่รถคันโปรดไปนาน ๆ
ยางรถยนต์ เป็นส่วนสำคัญของรถที่ช่วยในการขับเคลื่อนหรือหยุดรถของคุณตามการคอนโทรล อีกทั้งยังช่วยลดแรงกระแทก การสั่นสะเทือน รวมถึงกันลื่นจากสภาพพื้นถนนเปียกชื้นเมื่อฝนตก เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดบนท้องถนน ถึงแม้ว่ายางรถยนต์จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่หากเรานั้นดูแลยางรถยนต์ไม่ดี หรือละเลยเมื่อสังเกตว่ายางรถยนต์มีปัญหาผิดปกติไม่นำไปซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่ให้เท่าทัน รับรองเลยว่าอุบัติเหตุคงอยู่ไม่ไกลจากตัวคุณแน่นอน ดังนั้น หากอยากให้ยางรถยนต์เสื่อมสภาพช้าลงและลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนยางใหม่บ่อยครั้ง คุณควรใส่ใจในเรื่องของการดูแลยางรถยนต์ ที่วันนี้ ทาง AUTO1 ได้นำวิธีดูแลง่าย ๆ มาฝากกัน
ปัญหาที่ทำให้ยางรถยนต์เสื่อมสภาพเร็ว มีอะไรบ้าง
- ยางรถยนต์มีอุณหภูมิสูง : หมายถึงยางรถยนต์ที่กำลังร้อนจัด ซึ่งอาจเกิดจากการจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน ขับรถด้วยความเร็วสูงและเบรกกะทันหัน เพราะทำให้ล้อเสียดสีกับถนนก่อให้เกิดความร้อนเสี่ยงผ้าเบรกไหม้ ยางไหม้ ยางแตก และยางระเบิดได้
- บรรทุกของหนักเกิดมาตรฐาน : เนื่องจากยางรถยนต์ เป็นชิ้นส่วนล่างของรถยนต์ที่ต้องแบบรับน้ำหนักโครงสร้างรถ น้ำหนักของคนหรือผู้โดยสาร และของต่าง ๆ เอาไว้ เมื่อคุณบรรทุกน้ำหนักเกินมาตรฐานที่สังเกตได้จากการขับเคลื่อนช้าลง ยางล้อรถแบน อาจทำให้ยางรถเสื่อมสภาพเร็วและยางแตกขณะขับขี่ได้
- ยางรถยนต์ถูกของแหลมคม : อาจเป็นปัญหาที่ใครหลาย ๆ คนมักพบเจอ เพราะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เนื่องจากเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าของมีคม เช่น เศษแก้ว ตะปู ตกหล่นส่วนใดของถนนบ้าง หรือแม้แต่การถูกขอบถนนข้างทางขูด ที่ส่งผลให้ยางเสียหาย รั่วซึม และไม่แนะนำให้ขับขี่ต่อไปในระยะยาว เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ
- การเติมลมยางไม่เหมาะสม : การเติมลมยางที่มีค่าแรงดันลมไม่เหมาะสมกับรถ หากยางรถมีแรงดันมากเกินไปขณะขับขี่ก็อาจเสี่ยงให้ยางระเบิด และหากเติมน้อยเกินไปก็จะทำให้ยางรถยนต์อ่อนตัวรับน้ำหนักของรถได้ไม่เต็มที่ ทำให้ยางรถเสียดสีกับพื้นที่ส่งผลให้ยางรถเสื่อมสภาพได้ไวและเสี่ยงรถส่ายที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ
วิธีดูแลรักษายางรถยนต์
1. ขับขี่อย่างนุ่มนวล : หลีกเลี่ยงการขับขี่ด้วยความเร็วสูง การเร่งเครื่องขณะเข้าโค้ง การเบรกรถกะทันหัน รวมถึงการขับขี่บนถนนขรุขระ เพราะจะทำให้ยางรถยนต์ใช้งานหนัก สึกหรอ มีการเสียดสีมากรวมถึงมีอุณหภูมิสูง เพื่อช่วยป้องกันให้ยางรถยนต์เสื่อมสภาพเร็ว
2. หลีกเลี่ยงการบรรทุกของหนัก : ควรบรรทุกของให้เหมาะสมกับยางรถยนต์ โดยสังเกตจากตัวเลขการรับน้ำหนักที่ระบุไว้บริเวณแก้มยางหรือขอบยาง ว่าสามารถรับน้ำหนักได้เท่าไหร่ต่อเส้น ดังรูป
จะเห็นได้ว่าตัวเลขในรูปข้างต้น คือ 84 แต่ไม่ได้แปลว่าจะรับน้ำหนักได้เพียง 84 กิโลกรัม เนื่องจากเป็นเพียงดัชนีตัวเลขที่คุณต้องนำเทียบกับตารางเทียบค่าดัชนีการรับน้ำหนัก
ยกตัวอย่าง ตัวเลขดัชนี 84 หมายความว่า ยางเส้นนี้จะรับน้ำหนักได้ 500 กิโลกรัม และรถ 1 คันมียาง 4 เส้น ให้คุณนำ 84 x 4 ก็จะได้ผลลัพธ์ 2,000 กิโลกรัม นั่นเอง
ทั้งนี้ในเรื่องของการรับน้ำหนักจะไม่ได้จำแนกเป็นน้ำหนักของสิ่งของเท่านั้น แต่จะรวมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างรถ เครื่องยนต์ คนขับ ผู้โดยสาร เป็นต้น
- รถยนต์ขนาดเล็ก ควรเติมลมยางประมาณ 25-30 PSI
- รถยนต์ขนาดกลาง ควรเติมลมยางประมาณ 30-35 PSI
- รถกระบะ (ไม่บรรทุก) ควรเติมลมยางประมาณ 35-40 PSI
- รถตู้บรรทุกประมาณ 7-10 คน ควรเติมลมยางประมาณ 43-55 PS
4. ตรวจเช็กดอกยางรถยนต์ : การเช็กดอกยางรถยนต์ด้วยตัวเองเบื้องต้น สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการสังเกตจากสัญลักษณ์บริเวณขอบยางหรือบริเวณหน้ายางตรงสะพานยาง ที่จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละแบรนด์ของทางผู้ผลิต เช่น สามเหลี่ยม สัญลักษณ์ของแบรนด์ ดังรูป
หากความสูงของดอกยางลดลงใกล้เคียงเกือบจะเสมอกับสัญลักษณ์หรือสะพานยาง อาจหมายความว่าดอกยางสึกนั่นเองและจำเป็นต้องเปลี่ยนยางใหม่ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ยางรถยนต์เกาะถนนได้ดีขณะขับขี่
5. ตรวจศูนย์ถ่วงล้อ : เป็นการปรับระบบการสั่นสะเทือนของรถและล้อให้อยู่ในค่าที่สมดุลกัน เพื่อช่วยให้ล้อรถซับแรงกระแทกได้ดีและทำให้เราบังคับทิศทางขณะขับขี่ไปแม่นยำยิ่งขึ้น โดยสัญญาณแรกที่ควรสังเกตนั่นก็คือ ขับรถตรงแต่พวงมาลัยไม่ได้อยู่ตรงกลาง รถเอียงไปทางซ้ายหรือขวาขณะขับขี่ และพวงมาลัยสั่นสะเทือน โดยควรเข้ารับการตรวจทุกปี หรือทุกการขับขี่ประมาณ 10,000 กิโลเมตร
6. สลับยางทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร : เมื่อใช้รถไประยะหนึ่ง ยางรถยนต์อาจเริ่มสึกกร่อนเนื่องจากหน้ายางรถยนต์เป็นบริเวณที่สัมผัสกับถนนทุกวัน และแน่นอนว่ายางรถยนต์แต่ละเส้นก็อาจมีการสึกกร่อนไม่เท่ากัน จึงจำเป็นต้องมีการสลับยางรถยนต์เพื่อยืดอายุการใช้งานยางของเส้นที่มีการสึกกร่อนมากกว่าให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยควรสลับยางทุกๆ 10,000 กิโลเมตร ของการใช้รถและทำการสลับยางโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะมีรูปแบบการสลับแตกต่างกันออกไปตามสภาพการขับขี่และการขับเคลื่อนสี่ล้อของรถยนต์ ดังนี้
- รถขับเคลื่อนล้อหน้า : ส่วนใหญ่มักเป็นรถยนต์ทั่วไป ที่มีการวางเครื่องยนต์ไว้บริเวณหน้ารถ โดยน้ำหนักของรถจะถ่ายเทไปยังล้อหน้ามากกว่า ซึ่งการสลับยางสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหน้านี้จะนำยางหน้าทั้ง 2 ข้าง เปลี่ยนไปใส่เป็นล้อหลัง และนำยางล้อหลังด้านซ้ายไปใส่ล้อหน้าด้านขวา นำล้อหลังด้านขวาสลับไปใส่ล้อหน้าด้านซ้าย
- รถขับเคลื่อนล้อหลัง : เป็นรถที่มีการวางเครื่องยนต์ขนาดใหญ่บริเวณด้านหลัง แต่จะมีการวางเครื่องยนต์บางส่วนเชื่อมไปด้านหน้าด้วยเล็กน้อย ทำให้มีน้ำหนักที่กระจายตัวมากกว่า ไม่ไปหนักด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว ส่วนใหญ่มักเป็นรถสปอร์ต รถแข่งที่ผ่านการแต่งปรับเปลี่ยน ซึ่งการสลับยางสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหลังนี้ จะนำยางหลังทั้ง 2 ข้าง เปลี่ยนไปใส่เป็นล้อหน้า และนำยางล้อหน้าด้านซ้ายไปใส่ล้อหลังด้านขวา นำล้อหน้าด้านขวาสลับไปใส่ล้อหลังด้านซ้าย
- รถขับเคลื่อน 4 ล้อ : มักจะเป็นรถกระบะหรือรถที่ใช้สำหรับการเดินทางในการลุยน้ำ ลุยดิน ลุยโคลน ถนนลูกรัง ที่จะสลับยางกันเป็นรูป X นั่นก็คือ นำล้อหน้าด้านซ้ายสลับไปล้อหลังด้านขวา และนำล้อหน้าด้านขวา สลับไปล้อหลังด้านซ้าย
เมื่อไหร่ที่เราควรเปลี่ยนยางรถยนต์
การเปลี่ยนยางรถยนต์ควรเปลี่ยนต่อเมื่อยางรถยนต์ใกล้หมดอายุการใช้งาน หรือพบเห็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติที่เกิดขึ้นขณะขับขี่และยางรถยนต์มีลักษณะเปลี่ยนไป ที่สังเกตได้จากสัญญาณเตือน ดังต่อไปนี้
- ยางรถยนต์บวมหรือแก้มยางมีรอยแตก โดยอาจสังเกตได้จากสภาพของล้อยางหรือรู้สึกรถเด้งขณะขับขี่และพวงมาลัยสั่น หากไม่รีบเปลี่ยนใหม่แล้วละก็อาจเสี่ยงทำให้ยางระเบิดขณะขับขี่ได้เลยทีเดียว
- ล้อรถมีเสียงเอี๊ยดขณะขับหรือเบรก ที่เป็นสัญญาณเตือนถึงยางรถยนต์เก่าเกินไปจนหน้าสัมผัสยางสึก
- เติมลมยางบ่อยกว่าปกติ เพราะการเติมลมยางบ่อย ๆ อาจเป็นเพราะยางรถยนต์มีการรั่วซึม ซึ่งในกรณีที่พบรอยรั่วบริเวณหน้ายางอาจใช้วิธีการปะยางแทนการเปลี่ยนใหม่ได้ แต่หากพบรอยรั่วบริเวณสำคัญ เช่น แก้มยาง ขอบยาง อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่แทน เนื่องจากการปะยางบริเวณนี้ไม่มีประสิทธิภาพมากพอในการแก้ปัญหาและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ในขณะขับขี่
- ขณะเลี้ยวรถหรือเบรกพบว่ารถไหลไม่เป็นไปตามคอนโทรล โดยเฉพาะเมื่อตอนถนนเปียก อาจบ่งบอกถึงยางรถยนต์เสื่อมสภาพและดอกยาง
ช้อปปิ้งสินค้า ยางรถยนต์ ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง กับ AUTO1
AUTO1 ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรที่ทันสมัย บริการครบวงจร ที่เดียวจบ ครบตั้งแต่ช่วงล่างจนถึงห้องเครื่อง ให้คำปรึกษาและดูแลโดยทีมช่างมืออาชีพที่มีประสบการณ์สูง ให้บริการด้วยเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน เพื่อบริการที่รวดเร็วและแม่นยำสูงสุด รวบรวมสินค้าอะไหล่รถยนต์จากผู้ผลิตชั้นนำระดับโลก
"เพราะเรา ดูแลทุกคัน ใส่ใจทุกคน"