ปั๊มลม

ประเภทของปั๊มลม 

1. ปั๊มลมประเภทลูกสูบสายพาน : ถือเป็นปั๊มลมที่นิยมใช้งานมากที่สุดหลักการทำงานปั๊มลมลูกสูบจะมีการเคลื่อนตัวในแนวดิ่งหรือเคลื่อนที่แบบขึ้นและลง ทำให้เกิดแรงดูดเเละอัดอากาศเข้าไปในกระบอกสูบ โดยจะมีวาล์วทางด้านอัดอากาศและวาล์วทางออกที่ทำงานสัมพันธ์กัน สามารถสร้างความดันหรือแรงดันลมได้ตั้งแต่ 1 บาร์ ไปจนถึง 1,000 บาร์ เลยทีเดียว เหมาะสำหรับใช้งานตามอู่ซ่อมรถ ร้านยางยนต์ งานเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น แต่อาจจะมีข้อเสียในเรื่องเสียงดังของตัวเครื่องขณะใช้งาน 
2. ปั๊มลมโรตารี่ : เป็นปั๊มลมอีกหนึ่งประเภทที่ได้รับความนิยมใช้กับงานเฟอร์นิเจอร์ เครื่องขัดกระดาษทราย ไขควงลม ปืนลม และเครื่องมือลมต่าง ๆ โดยจะใช้มอเตอร์ขับตรงกับลูกสูบในการส่งพลังงานได้อย่างรวดเร็ว มีขนาดเล็ก เคลื่อนย้ายสะดวก แต่ไม่ควรนำใช้งานตลอดทั้งวันหรือเป็นเวลานาน อย่างงานพ่นสี เพราะมอเตอร์อาจร้อนจนไหม้ ทำให้มอเตอร์พังเร็ว
3. ปั๊มลมออยฟรี : พัฒนามาจากปั๊มลมโรตารี่ เป็นนวัตกรรมใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมตามมาติด ๆ เพราะใช้ระบบหล่อลื่นด้วยน้ำแทนน้ำมัน โดยอากาศที่ไหลออกจากของเครื่องปั๊มลมนั้นจะปราศจากน้ำมัน ทำให้ไม่มีสิ่งปนเปื้อน เหมาะสำหรับงานที่ต้องการเน้นเรื่องความสะอาด เช่น งานศิลปะที่ต้องใช้แอร์บรัชพ่นส งานทันตแพทย์ที่ต้องใช้ร่วมกับเครื่องกรอฟัน เป็นต้น ที่สำคัญค่อนข้างมีเสียงเงียบไม่รบกวนผู้อื่น แต่ถึงอย่างนั้นระหว่างที่ใช้งานคุณควรพักเครื่องบ้างเป็นครั้งคราว เนื่องจากตัวเครื่องไม่มีน้ำมันหล่อเลี้ยงจึงไม่เหมาะกับการใช้งานติดต่อกันเวลานาน
4. ปั๊มลมแบบสกรู : เป็นปั๊มลมที่นิยมใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป เพราะเครื่องปั๊มประเภทนี้จะให้การผลิตลมที่มีคุณภาพสูง โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นต้นกำลังในการหมุนเพลาสกรู 2 ตัวให้หมุนเข้าหากันที่ก่อให้เกิดแรงอัดอากาศขึ้นมา อีกทั้งยังได้ปริมาณลมที่สม่ำเสมอกว่าแบบลูกสูบ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกำลังของมอเตอร์เเละการออกเเบบชุดสกรูของแต่ละแบรนด์ร่วมด้วย ยิ่งกำลังสูงมากเท่าไหร่ตัวเครื่องอัดอากาศก็จะสามารถผลิตปริมาณอากาศได้มากตาม  

วิธีการดูแลรักษาปั๊มลม 

1. สายพาน : สายพานปั๊มลมจะต้องมีความการยืดหยุ่น ประมาณ 1/2 นิ้ว และควรสังเกตเพิ่มเติมร่วมด้วยว่ามีรอยแตกร้าวหรือไม่ หากพบว่ามีรอยแตกร้าว คุณควรเปลี่ยนสายพานทันที 
2. น้ำมันเครื่อง : ควรสังเกตจากช่องดูน้ำมันเครื่องด้านล่างของลูกสูบว่าน้ำมันอยู่ระดับกลางช่องหรือไม่ รวมถึงควรเปลี่ยนถ่ายทุก ๆ 6 เดือน หรือทุก 1,000 ชั่วโมง
3. ที่กรองอากาศ : ควรนำออกมาเป่าทำความสะอาดทุก ๆ 2 เดือน หรือเปลี่ยนใหม่ทุก 6 เดือน
4. มอเตอร์ : ห้ามให้มอเตอร์โดนน้ำและความชื้นเด็ดขาด เพื่อป้องกันความเสียหายและเพิ่มอายุการใช้งาน 
5. จุดต่อสายไฟ : ในจุดต่อสายไฟต่าง ๆ ก็ควรเช็กว่ายึดติดแน่นเกินไปหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดประกายไฟ ไฟกระชากในระหว่างที่มอเตอร์ทำงาน
6. ถังเก็บลม : ควรถ่ายน้ำที่ขังอยู่ภายในถังออกทุก ๆ วัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีละอองน้ำออกมาในขณะคุณเปิดเครื่องใช้ลมและเป็นการป้องกันการเกิดสนิมขึ้นภายในถัง อีกทั้งควรจัดเก็บปั๊มลมให้ห่างจากกำแพงประมาณ 30 เซนติเมตรหลังการใช้งาน เพื่อระบายความร้อนให้กับตัวเครื่องได้ดี 

เคล็ดลับการเลือกซื้อปั๊มลมให้เหมาะสม 

1. คุณสามารถพิจารณาได้จากการใช้งาน หากคุณต้องใช้แรงดันลมบ่อยครั้ง ก็ควรเลือกซื้อเครื่องปั๊มลมที่มีแรงดังสูงจะได้ใช้งานได้มีประสิทธิภาพ แต่หากคุณต้องการใช้แรงดันลมนาน ๆ ครั้ง เช่น ทำความสะอาดพื้นหน้าบ้าน ผนังบ้าน ก็ควรเรื่องเครื่องปั๊มลมที่แรงดันต่ำ  
2. เลือกเครื่องปั๊มลมที่มีเครื่องทำลมแห้ง เพราะเป็นตัวช่วยสำคัญ เพราะน้ำจะเป็นตัวอันตรายต่อถังบรรจุลม เพราะยิ่งปล่อยน้ำให้ค้างไว้ภายในนาน ๆ อาจทำให้ถังบรรจุลมมีสนิมที่ก่อให้เกิดความเสียหายได้
3. ควรเลือกซื้อเครื่องปั๊มลมที่มีตัวกรองลม เพราะปกติแล้วลมอัดมักจะมีความชื้นและละอองน้ำ ที่อาจส่งผลกระทบภายหลังได้ ซึ่งตัวกรองลมนั้นจะช่วยปรับปรุงคุณภาพของลมที่ออกมาได้
4. เลือกเครื่องปั๊มลมที่มีคุณภาพ ทนทานตัวเครื่องต้องมีความหนา ที่สำคัญต้องมีการรับประกันสินค้าซึ่งแต่ละแบรนด์ก็จะมีเงื่อนไขการรับประกันที่แตกต่างกันออกไป ควรอ่านให้ละเอียดก่อนเลือกซื้อทุกครั้ง
5. ตัวเครื่องสามารถดูแลและทำความสะอาดง่าย
6. ควรเลือกเครื่องปั๊มลม ที่มีกระบวนการเคลือบกันสนิมทั้งด้านในและด้านนอก
7. ควรเลือกระบบของปั๊มลมที่มีระบบตัดไฟอัตโนมัติเพื่อขณะที่มอเตอร์ใช้กระแสไฟสูงกว่าปกติ จะได้ช่วยตัดระบบเพื่อป้องกันความปลอดภัยกับตัวเครื่องปั๊มลมและผู้ใช้งาน 

ช้อปปิ้งสินค้า ปั๊มลม ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง กับไทวัสดุ