หน้ากากอนามัย ไอเทมเพิ่มความปลอดภัย แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร ?
ด้วยความหลากหลายของหน้ากากอนามัยที่วางจำหน่าย ตั้งแต่หน้ากากผ้า หน้ากากทางการแพทย์ ไปจนถึงหน้ากาก N95 ทำให้ผู้บริโภคหลายคนอาจเกิดความสับสนในการเลือกซื้อว่าจะเลือกชนิดไหนกันแน่ที่เหมาะกับการป้องกันโรคติดเชื้อ ไวรัส หรือป้องกันเพียงแค่ฝุ่นละออง ซึ่งหากเลือกใช้หน้ากากไม่เหมาะสมหรือใส่ไม่ถูกวิธี ก็อาจส่งผลให้ไม่ได้รับประสิทธิภาพในการป้องกันอย่างเต็มที่ บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจและให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของหน้ากากอนามัยแต่ละชนิด พร้อมวิธีการใส่ที่ถูกต้องมาฝากกัน
ชั้นหน้ากากอนามัย ปกป้องเรามีกี่ชั้นกันนะ
ส่วนใหญ่หน้ากากอนามัยทุกประเภทจะมีทั้งหมด 3 ชั้น ด้วยกัน โดยแต่ละชั้นก็จะผลิตจากวัสดุที่ต่างกันเพื่อทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมกระจายตัวออกหรือเข้าสู่ร่างกายของเรา ซึ่งจะประกอบด้วย ดังนี้
• ชั้นนอก : มักทำจากวัสดุที่กันน้ำหรือละอองน้ำได้อย่าง โพลีเอสเตอร์ สปันบอนด์ ที่ช่วยป้องกันละอองฝอยขนาดใหญ่ เช่น ละอองน้ำลาย หรือหยดน้ำมูก ที่อาจมีเชื้อโรคปะปนอยู่ ไม่ให้เข้าสู่ชั้นในของหน้ากาก
• ชั้นกลาง : ส่วนใหญ่ทำจากวัสดุเมลท์โบล์น พอลิโพรไพลีน ที่มีอนุภาคขนาดเล็ก เพราะชั้นนี้เป็นหัวใจสำคัญของหน้ากากอนามัย ที่ทำหน้าที่กรองหรือดักจับอนุภาคขนาดเล็ก ไม่ให้ผ่านเข้าไปหรือกระจายออกไปได้
• ชั้นใน : มักทำจากวัสดุที่อ่อนนุ่มระบายอากาศได้ดี จะเป็นชั้นที่สัมผัสกับผิวหน้าของผู้ใส่ ช่วยดูดซับความชื้นจากลมหายใจ และป้องกันไม่ให้ละอองฝอยจากภายในปากและจมูกเล็ดลอดออกไปด้านนอก
นอกจากนี้ บางแบรนด์หรือบางรุ่นอาจมีการเพิ่มเทคโนโลยีที่เป็นชั้นกรองใหม่ เช่น ชั้นกรองคาร์บอน ชั้นกันน้ำ กันฝุ่น ชั้นกันแบคทีเรีย เข้าไปเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหน้ากากอนามัยให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ตอบโจทย์ต่อผู้ที่อยู่สภาพแวดล้อมเสี่ยงกว่าผู้อื่น เช่น ผู้ที่ทำงานอยู่กับฝุ่นควันเป็นเวลาอย่างช่างก่อสร้าง ตำรวจจราจร คนขับรถส่งของ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นภูมิแพ้ ฯลฯ
ความแตกต่างของหน้ากากอนามัยแต่ละประเภท
หน้ากากอนามัย เป็นอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 ไวรัส RSV ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่ป้องกันตัวเราแต่ยังป้องกันบุคคลรอบข้างไม่ให้รับเชื้อจากเราอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีปัญหามลพิษทางอากาศที่คุณต้องเผชิญ เช่น ควันจากยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม ฝุ่น PM2.5 ซึ่งมลภาวะเหล่านี้อาจทำให้คุณเสี่ยงต่อโรคหอบหืด ไซนัส ปอดอุดกั้นเรื้อรังรุนแรงไปจนถึงขั้นเป็นมะเร็งปอดได้ ดังนั้น การใส่หน้ากากอนามัยจึงมีส่วนช่วยให้คุณห่างไกล ลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ โดยสามารถเลือกใช้ตามแต่ละประเภท ดังนี้
1.หน้ากากอนามัยทางการแพทย์
เป็นหน้ากากอนามัยที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด ส่วนใหญ่หน้ากากอนามัยประเภทนี้มีทั้งแบบ 3 ชั้น ออกแบบมาเพื่อใช้ในการปฏิบัติงานทางการแพทย์หรือใส่ทั่วไป ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค ไวรัส จากสารคัดหลั่ง แพร่กระจายไปยังบุคคลรอบ ผลิตขึ้นจากผ้าหรือพอลิโพรไพลีน โพลีเอสเตอร์ สปันบอนด์ โมลท์โบลน
2.หน้ากากอนามัยคาร์บอน
เป็นหน้ากากอนามัยชนิดหนึ่งที่มีความพิเศษตรงที่มีชั้นคาร์บอน (Carbon Activated) เข้ามาเป็นชั้นเสริม ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยกรองกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้ดีกว่าหน้ากากอนามัยทั่วไป เช่น กลิ่นควันรถ กลิ่นบุหรี่ กลิ่นสารเคมี เหมาะกับผู้ที่ทำงานทางด้านทาสี งานก่อสร้าง งานในโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ทำกิจกรรมกลางแจ้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีคุณภาพในการป้องกัน เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เกสรดอกไม้ และสารคัดหลั่งจากผู้อื่นได้ดังเดิม ไม่ต่างจากจากหน้ากากทางการแพทย์
3.หน้ากากอนามัยผ้า
ส่วนใหญ่ทำจากผ้าฝ้าย หรือใยสังเคราะห์ซ้อนทบกัน ซึ่งมีตั้งแต่ 2-3 ชั้น โดยคุณสมบัติของหน้ากากชนิดนี้สามารถกรองฝุ่น ป้องกันเชื้อโรคจําพวกเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราได้เช่นกัน เหมาะกับการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันเสียมากกว่าเพราะสามารถนำไปซักทำความสะอาดด้วยการนำไปซักในน้ำร้อนและกลับมาใช้ซ้ำได้อีกครั้ง
4.หน้ากากอนามัยฟองน้ำ
ผลิตจากโพลียูรีเทนคาร์บอน ที่ให้ความเบาสบายขณะใส่ สามารถซักทำความสะอาดได้ แห้งเร็ว พับเก็บแล้วไม่ยับ แต่อาจไม่ป้องกันเชื้อไวรัสหรือ PM 2.5 ที่มีอนุภาคขนาดเล็กได้ เหมาะกับการนำไปใส่เมื่อเผชิญกับเศษฝุ่นละอองขนาดใหญ่ตามงานซ่อมแซม งานก่อสร้าง หรือใส่เพียงชั่วคราวยามที่คุณทำกิจกรรมอื่น ๆ เช่น วิ่งออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน
5. หน้ากากอนามัย KF94
เป็นหน้ากากอนามัยมาตรฐานของประเทศเกาหลีใต้ โดยตัวเลข "94" หมายถึงประสิทธิภาพในการกรองอนุภาคขนาดเล็ก 94% ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ป้องกันละอองฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศขนาดเล็กมากกว่าการกรองเชื้อโรค แบคทีเรีย เช่น ละอองเกสรดอกไม้ และฝุ่น PM 2.5 จึงไม่ควรใช้ทดแทนเป็นหน้ากากทางการแพทย์
6. หน้ากากอนามัย N95
เป็นหน้ากากที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานสูง ลักษณะพิเศษของหน้ากากชนิดนี้คือจะมีรูปทรงครอบบริเวณจมูกและปากได้อย่างครอบคลุม มิดชิด มีประสิทธิภาพในการกรองสูงถึงร้อยละ 95 ทําให้เชื้อไวรัสและสิ่งแปลกปลอม ที่มีอนุภาคขนาดเล็กกว่า 0.3 ไมครอน เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสโควิด-19 ไวรัสหัด ฝุ่น Pm 2.5เข้าสู่ทางเดินหายใจได้ยาก อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานนานประมาณ 3 สัปดาห์ แต่เพื่อสุขอนามัยที่ดีควรมีการเปลี่ยนใหม่ทุก 1-2 วัน ยกเว้นแต่หน้ากากมีการปนเปื้อนของสารคัดหลั่ง ที่ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำอีกและควรเปลี่ยนทันที นิยมใช้กับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ งานก่อสร้าง งานช่างต่าง ๆ ที่เผชิญกับฝุ่นละอองอนุภาคเล็ก
7. หน้ากากอนามัย FFP
เป็นหน้ากากที่มีลักษณะและประสิทธิภาพใกล้เคียงกับหน้ากากอนามัย N95 แต่อาจแตกต่างกันที่มาตรฐานและในการผลิตและการทดสอบ โดยทั่วไปแล้ว หน้ากาก N95 จะเป็นมาตรฐานของสหรัฐอเมริกา แต่หากเป็นหน้ากาก FFP จะเป็นมาตรฐานของยุโรป คำว่านั้น "FFP" ย่อมาจาก Filtering Face Piece ซึ่งหมายถึงอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่ใช้ครอบหน้าเพื่อกรองอนุภาคขนาดเล็ก และตัวเลขที่ตามหลัง FFP จะบ่งบอกถึงระดับการป้องกัน ยิ่งตัวเลขน้อยก็จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันต่ำ
ยกตัวอย่าง : หน้ากากอนามัย FFP1 จะนิยมใช้ใส่เพื่อป้องกันฝุ่น เกสรดอกไม้ สารคัดหลั่ง ส่วนหน้ากากอนามัย FFP2 จะมีประสิทธิภาพการป้องกันสูงขึ้น จึงนิยมใช้เพื่อป้องกันเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย ฝุ่นละออง ฝุ่น PM2.5 เกสรดอกไม้ สารเคมีมีฤทธิ์อ่อน
โดยส่วนใหญ่หน้ากากอนามัย FFP จะมีตัวกรองที่นูนออกมาด้านหน้าและด้านข้างหน้ากาก รวมถึงสายรัดที่มีทั้งใส่กับหูปกติหรือเพิ่มความยาวของสายที่ใช้ในการรัดศีรษะ ซึ่งคุณสามารถเลือกซื้อได้ตามความถนัดและความสบายในการใส่
วิธีใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง
1. ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ก่อนสัมผัสหน้ากากอนามัย
2. ตรวจสอบว่าหน้ากากอนามัยมีการชำรุดหรือรอยเปื้อนก่อนสวมใส่หรือไม่
3. ตรวจสอบด้านหน้า-หลัง ของหน้ากากอนามัยก่อนใส่ โดยเบื้องต้นสังเกตได้จากสีของหน้ากาก พราะส่วนใหญ่สีด้านในมักมีสีอ่อนกว่าด้านนอก แต่หากเป็นสีขาวทั้ง 2 ด้าน ให้สัมผัสวัสดุเนื่องจากด้านในมักจะให้สัมผัสที่นุ่มกว่า เพื่อลดการระคายเคืองจากการเสียดสีกับผิว
4. สวมหน้ากากโดยการนำสายรัดทั้ง 2 ข้างเกี่ยวไว้ที่หู และบีบส่วนโลหะหรือพลาสติกให้แนบกับสันจมูกของคุณ ดึงส่วนล้างของหน้ากากอนามัยคลุมให้ถึงใต้คาง สำหรับหน้ากากที่รัดศีรษะจะมีสายที่ยาวกว่าซึ่งสามารถปรับระดับได้ โดยสวมให้หน้ากากครอบบริเวณสันจมูกและปากก่อนจะค่อย ๆ ปรับสายรัด
5. ระหว่างการสวมใส่หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสกับหน้ากากโดยตรงหรือควรล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดหลังสัมผัสทุกครั้ง
ช้อปปิ้งสินค้า หน้ากากอนามัย ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง กับไทวัสดุ
สัมผัสประสบการณ์ช้อปปิ้งสินค้าเพื่อบ้านบนโลกออนไลน์ได้แล้ววันนี้กับ ไทวัสดุ ศูนย์รวมสินค้าบ้านของคนไทย จำหน่าย หน้ากากอนามัย สั่งง่าย สะดวกรวดเร็ว และสามารถเลือกรับสินค้าที่สาขาด้วยตนเอง หรือเลือกรับสินค้าที่บ้าน บริการจัดส่งทั่วประเทศ สั่งผ่านออนไลน์ได้ที่ thaiwatsadu.com หรือติดต่อผ่านช่องทาง Chat & Shop LINE @thaiwatsadu โทร. 1308